Estonia – Building from Rock Bottom to Top of the World

The Author

“The Industries of the Future” เขียนโดย Alec Ross ผู้ที่เคยเป็นที่ปรึกษาอาวุโส (Senior Advisor) ด้าน Innovation ให้กับ Hillary Clinton ตั้งคำถามให้กับเราและกับตัวเค้าเองว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร?

Alec ใช้ประสบการณ์ในการเดินทางไปทั่วโลกของเค้า ระหว่างทำงานกับ Hillary Clinton ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ล่มสลายจากการมีสงคราม ไปประเทศที่กำลังสร้างเศรษฐกิจสมัยใหม่ ไปจนการพบปะบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งในด้านธุรกิจและการเมือง มากลั่นกรอง พร้อมด้วยความคิด สายตาที่มองไกลของเค้าเอง มาเล่าเรื่องราว ของ “The Industries of the Future” ให้เราได้อ่านกัน … มีทั้งตื่นเต้น และน่ากลัวไปพร้อม ๆ กัน

The Industries of the Future
The Industries of the Future

The New Industries

“The Industries of the Future” พูดถึงอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ และที่สำคัญ กับชีวิตของเราในอนาคต … ตั้งแต่หุ่นยนต์ ไปเรื่อง AI …เรื่อง เทคโนโลยีด้าน Genome … เรื่อง Cyber Crime และ Digital Technology

ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกขึ้น ก็มาจากสิ่งที่ผู้เขียนได้พบมาจริง ๆ และมาถ่ายทอดต่อ เป็นมุมมองในเรื่องของการวางแผนพัฒนาและยกระดับของทั้งจีน รัสเซีย อินเดีย รวันดา และเอสโตเนีย … ชื่อประเทศไทยของเราก็ปรากฎในหนังสืออยู่สองสามครั้งนะ (แต่นิดนึงคือ ผู้เขียนเหน็บจีนอยู่หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน ฮะฮะ)

จาก “The Industries of the Future” ขอมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยก่อนละกันนะครับ โดยขอเริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย (ไม่ใช่บทแรกของหนังสือ แต่อ่านแล้วมันติดตา ติดใจ)

What We can Learn from Estonia

ทุก ๆ ประเทศนั้น มีนโยบายที่ตนเองสามารถเลือกได้ ว่าจะ เปิด (open) หรือ ปิด (closed) และประเทศเล็ก ๆ ประเทศนึง ที่มีชื่อว่า เอสโตเนีย (Estonia) เป็นประเทศที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง

ปี ค.ศ. 1991 ที่สหภาพโซเวียตล่มสลายไปนั้น เอสโตเนียก็ได้แยกออกมาเป็นประเทศหนึ่ง และตอนนั้น ผู้นำประเทศต้องตัดสินใจว่า จะเปิดเพื่อรับอะไรใหม่ ๆ หรือจะปิดประเทศเพื่อกุมอำนาจเอาไว้ … แน่นอนว่า การเปิดประเทศ เป็นตัวเลือกของเอสโตเนีย

การเดินทาง การพัฒนาของเอสโตเนีย ไม่ง่าย … ในปี ค.ศ. 1992 ทุกอย่างเหมือนจะล่มสลายไปหมด เงินแทบไม่มีค่า เพราะเงินเฟ้อพุ่งไปมากกว่า 1,000% ราคาเชื้อเพลิง พลังงานสูงขึ้น 1,000% องค์กรอาชญากรรมเป็นอย่สงเดียวที่น่าจะดูดีในขณะนั้น

เพื่อเปรียบเทียบนะ ตอนนั้น เป็นช่วงที่ Silicon Valley กำลังจะเติบโตขึ้น … ฟ้ากับเหว ชัด ๆ เลย แบบนี้

นายกรัฐมนตรีของเอสโตเนียเวลานั้น ชื่อ Mart Laar ตอนนั้นอายุ 32 ปีครับ บอกเลยว่า หน้าที่หลัก คือ ต้องพาประเทศออกจากความเสื่อม การล่มสลายให้ได้

Development in Estonia

ให้ทายครับ อย่างแรกที่เค้าทำคืออะไร … คำตอบ คือ หยุดการสนับสนุนงบประมาณกับบริษัทของรัฐบาล (State-Owned Companies) ทั้งหมด โดยเค้าบอกให้เริ่มลงมือทำงาน ไม่งั้นก็จะไม่เหลืออะไร (อ่านตรงนี้แล้ว มองบ้านเรา อืมมมม … การบินไทย การรถไฟ ขสมก. อะแฮ่ม)

หลังจากนั้น เริ่มเข้าสู่ช่วงที่สองของการปฏิรูปประเทศ โดยการเอาวัฒนธรรมของการสร้างนวัตกรรมเข้ามาปลูกฝังในประเทศ (เดี๋ยวไว้ค่อยว่ากันเรื่องนี้) … เชื่อมั๊ยครับ แค่ 3 ปี จาก ค.ศ. 1992 – 1995 เงินที่เคยเฟ้อ 1,000% เหลือแค่ 29% ทำให้ช่วงนั้น เอสโตเนียเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น มีการลดข้อจำกัดการส่งออก มีการปรับเรื่องภาษีต่าง ๆ

สิ่งที่น่าสนใจในเวลานั้นคือ ตอนที่เอสโตเนียแยกออกมาใหม่ ๆ นะครับ ประชากรกว่าครึ่ง ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์บ้าน ที่เป็นสายโทรศัพท์น่ะ … ประเทศฟินแลนด์ใจดีสิครับ กำลังจะโล๊ะระบบโทรศัพท์แบบเดิม เพื่อเปลี่ยนเป็นดิจิทัลพอดี เลยเสนอจะมอบให้เอสโตเนีย … แต่ เอสโตเนียปฏิเสธ ไม่รับ … แล้วตัดสินใจมาออกแบบระบบโทรศัพท์ดิจิทัลของตัวเองเลย … กระโดดข้ามเทคโนโลยีแบบเดิมไปเลยครับ

พอพูดถึงการกระโดดข้ามแล้ว ก็มาดูที่ฝั่งรัฐบาล ก็ทำเหมือนกัน เอกสารต่าง ๆ การบริการต่าง ๆ ขึ้นออนไลน์ทันที และในปี ค.ศ. 1998 (แค่ 4 ปี หลังจากการเกิดขึ้นของ Commercial Internet) ทุกโรงเรียนในประเทศ ออนไลน์หมดเรียบร้อย และในปี ค.ศ. 2000 กฎหมายบอกว่า เป็นสิทธิของประชาชนทุกคน ที่จะต้องเข้าถึงออนเทอร์เน็ตได้ (20 ปี มาแล้วนะ … ตอนนี้บ้านเราจะเรียนออนไลน์ ยังมีอีกเยอะเลยเน๊าะ ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ดีพอ)

แน่นอนครับว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ของเอสโตเนีย และถึงแม้ว่า เอสโตเนียจะยังไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่แบบ Google แต่คิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักและเคยใช้ Skype … นี่แหละตัวอย่างนึงของสิ่งที่เกิดจากเอสโตเนีย

A Little More on Estonia

เราคุยเรื่องเอสโตเนียกันต่ออีกนิดนึงดีกว่าเน๊าะ … คราวก่อนก็ได้พูดถึงความสำเร็จของประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ไป มันก็พอจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำได้ไง?!?!

ขอยกตัวอย่างที่พอจะเป็นคำตอบได้ให้ดูละกันนะครับ

Alec Ross ผู้เขียน “The Industries of the Future” เล่าว่า ที่เอสโตเนียนี่ พอตกค่ำนะ เริ่มมืดเมื่อไร ไฟหน้ารถเปิด ส่งไปทางไหน ก็จะเห็นการสะท้อนแสงจากคนเดินถนน ไม่ว่าจะเป็นจากเสื้อผ้า กำไร สร้อยคอ เหมือน ๆ เสื้อที่มีแถบสะท้อนแสงของคนงานบนถนนน่ะครับ

เหตุผลที่เห็นแถบรึสิ่งสะท้อนแสงบนตัวคนบนถนนเต็มไปหมด เพราะว่า มันเป็นกฎหมายครับ ที่ระบุ/สั่งว่า เมื่อเริ่มมืด ทุกคนต้องมีสิ่งที่สะท้อนแสงจากตัว เพื่อความปลอดภัย … เหมือนจะเรื่องเล็กน้อย แต่ก็สามารถบังคับด้วยกฎหมายได้

จริง ๆ แล้ว จากกฎหมายอันนี้ เอสโตเนียสามารถสร้างนักประดิษฐ์ นีกออกแบบขึ้นมาได้ไม่น้อยเลยนะ โดยคนเหล่านี้ก็คิดค้น สร้างสิ่งของสะท้อนแสงที่คนสามารถสวมใส่ได้ จนบางคนมีแบรนด์ มีการจดทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองไปเลย

อีกอย่างที่ผู้เขียนเล่าให้ฟัง คือ ที่เอสโตเนียมีบริษัทนึงชื่อ Jobbatical … ใช่ครับ มาจาก Job + Sabbatical หมายความว่า บริษัทนี้จะทำหน้าที่ ช่วยจับคู่ระหว่างบริษัทกับคนที่อยากย้ายสถานที่ทำงานแบบระยะสั้นเชิง ๆ พักผ่อนในตัว เช่น เค้าสามารถจับคู่โปรแกรมเมอร์ กับบริษัทในเมืองไทย แล้วส่งมาช่วยทำงานที่บ้านเรา เป็นเวลา สามเดือน เป็นต้น

แค่ตัวอย่างนี้นะครับ เราเห็นอะไรหรือเรียนรู้อะไรได้บ้าง ขอ Quote ผู้เขียนมาเลยว่า “extreme order combined with invention and design” นั่นเอง

What’s Next for Estonia?

แล้วตอนนี้เอสโตเนียกำลังเน้นพัฒนาอะไรอยู่ … ให้ทาย … ฮะฮะ

แน่นอนครับ การศึกษา … ถ้าเทียบกันแล้ว เอสโตเนียลงทุนด้านการศึกษามากกว่า USA, UK และมากกว่าเกือบ ๆ จะทุกประเทศในยุโรปนะตอนนี้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา การไปโรงเรียน ความสามารถในการอ่านเขียนจะอยู่ที่ 100% ก็ตาม … ณ เวลานี้เค้าเน้นเรื่อง Robotics และ Coding ครับ และ Coding เริ่มปูพื้นตั้งแต่ ป.1 เลยครับ

เหตุผลเหรอ เค้าลองเทียบกับจีน ประเทศที่ 98 เมือง มีประชากรมากกว่าเอสโตเนียทั้งประเทศ … ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ตั้งคำถามเลยครับว่า แล้วเราจะไปแข่งกับจีน (หรือประเทศอื่น ๆ) ที่มีประชากร มีแรงงานจำนวนมหาศาลได้ยังไง

คำตอบ … หุ่นยนต์ หรือ Robotics นั่นแหละ … ก็หุ่นยนต์สามารถมีกำลังผลิตมหาศาลได้ จากการใช้แรงงานที่ไม่เยอะไงครับ

จริง ๆ แล้ว ผู้เขียนบอกนะครับว่า ผู้นำของเอสโตเนียคนนี้ ถ้าพูดถึงความรู้และวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีแล้ว เค้ายกให้เป็นอันดับหนึ่งจากผู้นำรัฐ/ประเทศ 196 แห่ง ที่เค้าเคยพบ เลยนะครับ

เรื่องของเอสโตเนียน่าจะประมาณนี้ก่อน … Alec Ross ทึ่งกับเอสโตเนียมาก จนกล่าวว่า เราน่าจะเลิกหา The next Silicon Valley กันได้แล้ว แต่มาหา The next Estonia กันดีกว่า